เยี่ยมชม Venice (Italy)

เวนิส (Venice)  หรือ เวเนเซีย (อิตาลี: Venezia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน (ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม 2547) มืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินี แห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) , และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)

 เมืองเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่ง นับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คน ในเทอร์ราเฟอร์มา (Terraferma) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ
 (ขอบคุณที่มาจาก http://www.infoplease.com/atlas/country/italy.html0italy.html)

เมือง เวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมหมู่เกาะขนาดเล็กประมาณ 118 เกาะเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย (Venetian Lagoon) ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่ง ระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ (Po and the Piave Rivers) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก (Adriatic Coast) ในภาคเหนือของ ประเทศอิตาลี โดยทั้งเมืองและทะเลสาบได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1987 (ขอบคุณที่มาจาก http://www.thaifly.com)

ที่เกาะหลักของ Venice นั้นจะถูกแม่น้ำชื่อว่า Grand Canal แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง โดยจะมีสะพาน 4 สะพานเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งเข้าด้วยกัน นอกจาก Grand Canal แล้ว ส่วนต่างๆของเมืองก็ยังมีคลองน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วเกาะ ทำให้ทางเดินต้องมีสะพานน้อยใหญ่เพื่อข้ามคลองเต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้ Venice จึงได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งสายน้ำและเมืองแห่งสะพาน
Venice เป็นเมืองที่ไม่มีรถยนต์ การเดินทางในเมืองส่วนใหญ่จะใช้เดินเท้าและทางเรือเท่านั้น
มาเริ่มต้นเดินทางกันดีกว่า

 







  ถึงแล้ว เข้าจอดเทียบท่า
มองไปเห็นเป็นเกาะอีกฝั่ง

แล้วก็ทยอยเดินเข้าไป คนเยอะจริงๆ
ระหว่างทางเดินมองเห็นรูปปั้นหันหน้าออกสู่ทะเล


 เริ่มเห็นสะพานข้ามคลองกันแล้ว

ส่วนมองอีกฝั่งทางทะเลก็เต็มไปด้วยเรือ Gondola จอดรอให้บริการ


เดินมาถึงท่าเรือ Gondola ด้านนอก
เรือ Gondola นั้นเป็นสัญลักษณ์อย่างนึงของ Venice โดยลักษณะของเรือจะเป็นเรือท้องแบน ทำด้วยไม้ ทาสีและตกแต่งลวดลาย เรือจะไม่มีไม้พาย แต่จะเป็นแท่งไม้ยาวๆ ปักลงไปในน้ำ เพื่อบังคับทิศทางเรือ และคนพายเรือจะใส่เสื้อลายทางขวางสีขาวดำ ตามธรรมเนียมนั้น คนที่จะมาเป็นคนพายเรือ Gondola ได้ จะต้องได้รับการสืบทอดทางครอบครัว ไม่ใช่ว่าใครอยากจะมาเป็นก็เป็นได้
การให้บริการล่องเรือ Gondola นั้น ปัจจุบันจะอยู่ในรูปแบบของบริษัท โดยคนพายเรือจะมีเอกสารที่บอกรายละเอียดของบริษัท รวมไปถึงรายะเอียดของการให้บริการ เช่น ระยะเวลาในการให้บริการ ราคา เส้นทางเดินเรือ และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
การล่องเรือ Gondola นั้นสามารถหาได้ตามจุดต่างๆบนเกาะ Venice และมีให้บริการทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน แต่กลางคืนจะมีราคาที่สูงกว่า เนื่องจากจะได้วิวที่สวยงามและโรแมนติกกว่า  เรื่อง ราคานั้นถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดไว้ตายตัวอยู่แล้ว แต่ว่าเราสามารถต่อรองราคากับคนพายเรือได้ หากไม่ได้ราคาที่พอใจ ก็เดินหาเจ้าอื่นๆได้ เนื่องจากมีให้เลือกมากมาย (http://www.sasommile.com)
Gondola มีการกล่าวถึงกอนโดลาเป็นครั้งแรกในเอกสารเมื่อปลายศตวรรษที่สิบเอ็ด ...แต่จริงๆแล้วคงมีก่อนหน้านี้มาแล้ว... คิดว่ารากศัพท์มาจากภาษาละติน cymbula หรือกรีก kuntelas (แปลว่าเรือขนาดเล็กทั้งสองคำ)... ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเรือน่าจะมาจากแถว มอลตา, ตุรกี, หรือ อาวิญง... เดิมทีเรือสั้นและกว้างกว่ารุ่นปัจจุบัน... มักมีเก๋งวางอยู่กลางลำเรือโดยมีผ้าม่านปกคลุมอยู่... เปิดโอกาสให้คนที่อยู่ในเก๋งสามารถทำอะไรลับหูลับตาคนได้ ...เป็นที่นิยมใช้ในการเดินทางของขนขั้นสูง... บางบ้านมีเรือนี้ไว้ใช้หลายลำ... พอถึงปี1930 จึงได้มีการนำเก๋งออกไป... พร้อมกับมีการดัดแปลงลำเรือ... โดยทำให้กราบเรือด้านขวายาวกว่าด้านซ้าย 9 นิ้ว... เพื่อให้ได้ดุลกับน้ำหนักตัวคนแจวที่เอียงไปข้างหนึ่ง... ซึ่งจะทำให้ความเร็วของเรือดีขึ้น
ในศตวรรษที่สิบหก เวนิสมีกอนโดลาถึงหนึ่งหมื่นลำ ...แต่ละลำตกแต่งด้วยเครื่องประดับและการแกะสลักอย่าหรูหราเป็นการอวดฐานะของเจ้าของเรือที่มักเป็นเศรษฐี...คง เหมือนเสี่ยเมืองไทยหล่ะครับที่ชอบขับรถเบนซ์อวดชาวบ้าน(ไม่ได้ว่าน้ากาแฟนะ ครับ) ...จนกระทั่งทางการเห็นว่าจะมากเกิน... จึงสั่งห้ามตกแต่งเรือกอนโดลาอีกต่อไปในปี 1562 ...นั่นคือเหตุผลที่กอนโดลากลายเป็นสีดำ (http://pantip.com/topic/30254175)
จงอยปากโลหะที่หัวเรือมีประวัติซับซ้อน บางคนเชื่อว่า 6 แถวเป็นตัวแทนของหกตำบลของเวนิส... บางคนคิดว่าเป็นการเลียนแบบเรือของชาวโรมันโบราณครับ(http://pantip.com/topic/30254175)
 Gondoliers หรือคนแจวเรือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ...ทุกคนต้องยึดมั่นในจริยธรรมของวิชาชีพ... ไม่ว่าเห็นใครทำอะไรอยู่ในเก๋งก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ...ถ้าคนไหนเอาความลับของภรรยาไปบอกสามี... มันผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษโดยเพื่อน Gondoliers ด้วยกันด้วยการกดให้จมน้ำตาย ...ดังนั้นพวกนี้จึงได้รับการว่าจ้างให้ทำงานสำคัญๆที่ต้องเก็บเป็นความลับ ได้... เช่น ว่าจ้างให้ไปส่งจดหมายที่มีความสำคัญ
 
ปัจจุบันมีเรือกอนโดลาเหลืออยู่ในเวนิสเพียง 400 ลำ ...และมีการต่อขึ้นใหม่แค่ 4 ลำต่อปี ...เรือแต่ละลำจะใช้การได้อยู่ประมาณ 20 ปี... จากนั้นจะถูกส่งไปเกาะ Murano เพื่อทำเป็นฟืนในการหลอมแก้ว(ขอบคุณที่มาจากhttp://pantip.com/topic/3025)

มองไปแต่ละด้านเห็นสะพานข้ามเยอะมาก
จากนั้นก็เดินมาถึงจัตุรัสซานมาร์โก(Piazza San Maeco)

 เดินมาถึงทางเข้าด้านขวา (ภาพด้านนอก)

 ด้านหลังเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากกำลังทยอยเดินเข้ามา
ตรงทางเข้าที่ติดกับคลองใหญ่มีเสาคอลัมน์ใหญ่สองต้นหินขนาดใหญ่ขนมาจากเมือง คอนสแตนติในช่วงศตวรรษที่12 เป็นเหมือนกับประตูบ้านที่ เปิดเข้าสู่จัตุรัสแห่งนี้
ต้นแรกมีรูปสิงโตมีปีกเท้าข้างขวาเหยียบพระคัมภีร์ สัญลักษณ์ของนักบุญมาร์โกผู้นิพนธ์พระวรสารและองค์อุปถัมภ์ของเมืองปัจจุบัน ต้นที่สองมีรูปนักบุญเทโอโดโรเหยียบจรเข้ องค์อุปถัมภ์ของเมืองในอดีต(http://www.italysmile.com)
ช่อง ระหว่าง St.Theodore column กับ St.Mark column ในสมัยก่อนใช้เป็นที่ประหารชีวิตพวกนักโทษและแขวนศพประจาน  เค้าว่าชาวเวนิสแท้ๆจะไม่เดินผ่านช่องระหว่างสองเสานี้
การที่เวนิสมีร่างของ St.Mark และยกให้เป็นนักบุญประจำเมืองนี้ เพราะทำให้เวนิสเทียบชั้นกับกรุงโรมที่มี St.Peter ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันได้ dogeของเวนิสจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้อาณัฐของโป๊ป(http://pantip.com/topic/30254175)
มองหันกลับมาด้านใน  จัตุรัสซานมาร์โก (Piazza San Marco)

 Biblioteca Nazionale Marciana (National Library of St Mark's) ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดย Jacopo Sansovino... สถาปนิกใหญ่ประจำเมือง... ซึ่งออกแบบสร้างตึกต่างๆมากมายในเวนิสโดยเฉพาะที่อยู่รอบๆ San Marco... แต่เคราะห์หามยามร้าย ขณะกำลังก่อสร้างห้องสมุดนี้ ตัวตึกเกิดยุบตัวและพังลงมา มีผู้เสียชีวิตในเหตการณ์ที่เกิดขึ้น... Sansovino ถึงกับต้องถูกจำคุก ...แต่คงจะหาคนมาสร้างต่อไม่ได้ ...ทางการจึงปล่อยตัวออกมาแต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องคุมการก่อสร้างต่อให้ เสร็จ และใช้เงินทุนตัวเองในการก่อสร้าง... Sansovino ก็ทำต่อจนเสร็จ ...กลายเป็นตึกสไตล์เรเนอซองส์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ

จัตุรัสซานมาร์โก (Piazza San Marco) ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ไม่เพียงเป็นศูนย์รวมของงานสถาปัตยกรรม ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแต่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนเวนิสจัตุรัสนี้มีลักษณะเป็นตัวแอลกลับด้าน ยาว 175 เมตร กว้าง 160 เมตร  


เดิน มา ณ จุดนี้ ก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ถึงแม้ว่าฝนจะตก ท้องฟ้าไม่เป็นใจก็ตาม อย่าให้เสียเที่ยว ต่อแถวไปชมกันดีกว่า
 ระหว่างต่อแถวก็เก็บภาพบริเวณประตูทางเข้าเล็กน้อย

รอขึ้นลิฟต์ซะนาน ถึงแล้วก็เก็บภาพซะให้หนำใจ (ถ้าฝนไม่ตกคงจะเป็นภาพที่สวยงามมาก)


Venice หรือ Venezia ในภาษาอิตาลี ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอิตาลี เป็นเมืองที่เป็นหมู่เกาะเล็กๆ หลายเกาะอยู่ใกล้ๆกัน แต่เกาะที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากที่สุดคือเกาะ หลักที่อยู่ใกล้ฝั่ง

 







ลงมาเดินด้านล่างจะเห็นว่า จัตุรัสซานมาร์โก (Piazza San Marco) มีอาคารล้อมรอบสามด้าน เต็ม ไปด้วยฝูงนกพิราบ ร้านกาแฟ และร้านค้าต่างๆ การสร้างโบสถ์นี้มีที่มาว่า สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือในเวนิส


มองหาร้านกาแฟ เค้าบอกว่าบริเวณนี้ยังรายรอบด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ อย่างเช่นร้านคาเฟ่ Florian อันเก่าแก่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมานั่งจิปกาแฟ พร้อมฟังดนตรีแจ๊สกันสดๆ (ถ้าเลือกร้านที่มีดนตรีบรรเลง และนั่งดื่มกาแฟ ฟังเสียงดนตรีด้านนอก จะต้องจ่ายค่ากาแฟ ถึง 20 euro เชียวนะ) ในยามหัวค่ำจนดึกดื่น และมีอยู่หลายร้านที่มักจะแสดงดนตรีประกวดประชันกัน นักท่องเที่ยวก็มักยืนชมกันอย่างอิสสระโดยไม่ต้องใช้บริการเครื่องดื่มอะไร ร้านขายของที่ระลึก ศิลปินวาดภาพ นักดนตรีเปิดหมวก และที่ขาดไม่ได้คือฝูงนกพิราบที่คอยบินมารับป้อนอาหารจากนั่งท่องเที่ยว ในวันที่อากาศดีๆเปียซซ่า ซานมาร์โก จะเป็นสถานที่โรแมนติกในฝันของบรรดาคู่รักอย่างไม่ต้องสงสัย(http://welovetravelclub.com/piazza-san-marco.html)
จัตุรัสและอาสนวิหารซานมาร์โก
ลานจตุรัสเซนต์มาโคร เกาะเวนิส จุดนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของเวนิสเลยทีเดียว นโปเลียนเคยนิยามความงดงามของเปียซซ่า ซานมาร์โก ว่าเป็น ซานมาร์โกว่าเป็น ห้องวาดภาพแห่งยุโรป” (The finest drawing room in Europe) เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนในจัตุรัสกลางเมืองเวนิสแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วย ศิลปะอันงดงาม เพราะรวบรวมสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น มหาวิหารและหอนาฬิกาซานมาร์โก , พระราชวังดอจ , ห้องสมุดลิเบรเรีย ซานโซวิเนียน่า เป็นต้น




 


St. Mark's Campanile หอระฆังนี้สูง 98.6 เมตร เป็นจุดที่สูงที่สุดของเวนิสทั้งเมือง... บนยอดมีระฆัง 5 ใบ... เหนือ ชั้นชมวิวเป็นห้องสี่เหลี่ยมประดับผนังด้วยสิงโต สัญลักษณ์ของ St. Mark... และ เทพียุติธรรม สัญลักษณ์ของ Venice... เหนือขึ้นไปเป็นปิรามิด... มีกังหันลมทำเป็นหุ่น angel Gabriel หมุนไปมาได้ 

เล่าว่าถ้า เทพธิดาน้อยนี้หมุนหันหน้าเข้าหาโบสถ์เมื่อไร แปลว่าช่วงนั้นน้ำจะขึ้นสูง... มีโอกาสที่น้ำจะท่วมเมืองได้... ช้างน้อยลองสังเกตดูช่วงที่พวกเราอยู่เวนิสกัน จะเห็นเทพธิดาน้อยหันบั้นท้ายให้โบสถ์อยู่ตลอดเลยครับ...พวกเราก็เลยไม่ได้ เห็นน้ำท่วมเมืองเวนิสกันเลยครับ... ส่วนระฆัง 5 ใบนี้จะมีเสียงที่ต่างกัน ใช้บอกสัญญานต่างๆกัน... ระฆังใหญ่สุดตีบอกเวลาทำงานเลิกงานเช้าเย็น ...ใบที่สองตีตอนเที่ยงวัน... ใบที่สามตีเรียกประชุมสมาชิกสภา... ใบที่สี่ตีเรียกประชุมสภาขุนนาง... ใบสุดท้ายจะตีเมื่อมีการประหารชีวิตนักโทษ..และจะตีพร้อมกันเมื่อเมื่อโป๊ปเสด็จมาถึงเมืองเวนิส
เดินต่อมาเรื่อยๆที่ด้านหน้าของจัตุรัส Piazza San Marco



จะเป็น Basilica di San Marco   โบสถ์นี้มีฉายาว่าโบสถ์ทอง (Church of Gold) เป็นโบสถ์ประจำเมืองที่มีความสำคัญกับเมืองเวนิสมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน โบสถ์สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 829 ตัวโบสถ์สร้างด้วยสถาปัตยกรรมหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่ยุคไบแซนไทน์จนถึงยุคเรอเนสซองส์  การสร้างโบสถ์นี้มีที่มาว่า สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือในเวนิส

ในฐานะนักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาที่อิยิปต์ และถูกประหารชีวิต เมื่อปี ค.ศ. 828  พ่อค้าชาวเมืองเวนิสไปขโมยศพของนักบุญเซนต์มาร์ก มาจากเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ แล้วนำมาถวายเจ้าผู้ครองเมืองเวนิสในขณะนั้น  ซึ่งเจ้าผู้ครองเมืองก็ได้สร้างโบสถ์นี้ไว้เก็บศพของนักบุญเซนต์มาร์ก เพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน


กล่าวกันว่าในช่วงประมาณปี 1700 เมืองเวนิสเป็นเมืองคนบาป อุดมไปด้วย casino และโสเภณี ศาสนาไม่สามารถเข้ามาควบคุมได้ เพราะชาวเวนิสถือว่าตัวเองมี St. Mark อยู่ซึ่งเทียบได้ระดับเดียวกับ St. Peter ของกรุงโรม ด้วยศักด์ศรีแล้วจึงไม่ได้ด้อยกว่าโป๊ป ถึงขนาดโป๊ปเองยังออกปากว่าตนปกครองได้ทั่วโลกยกเว้นเวนิส(http://pantip.com/topic/30254175)

ด้านหน้านักท่องเที่ยวต่อคิวยาว เพื่อเข้าชมความสวยงามด้านใน  ซึ่งภายในโบสถ์เป็นที่เก็บรักษาศพของนักบุญมาร์ค จุดที่น่าสนใจอยู่ที่เพดาน กำแพง มีภาพจิตรกรรมซึ่งตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองประดับประดาด้วยหินสีมีค่า ครอบคลุมระยะกว่า 4,000 ตารางเมตร เป็นเรื่องราวการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของนักบุญมาร์คและเรื่องราวในพระคัมภีร์


Basilica di San Marco นั้นเป็นโบสถ์ของโรมันคาทอลิกขนาดใหญ่ สร้างเสร็จในปี 1617 ตัวโบสถ์นั้นแบ่งออกเป็น 2 ชั้น และชั้น 2 นั้นมีระเบียงให้ออกมาเดินชม Piazza San Marco จากมุมสูง
 จุดเด่นที่ทำให้ Basilica di San Marco มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากนั้นก็คือ การออกแบบและตกแต่งตัวโบสถ์ทั้งภายนอกและภายในด้วยภาพโมเสก (Mosaic) สีทอง จนได้รับการขนานนามว่า Chiesa d’Oro หรือ Church of gold โดยเฉพาะด้านในนั้น บนเพดานเกือบทั้งหมดตกแต่งลวดลายด้วยโมเสกสีทองทำให้เพดานมีความแวววาวเหลืองอร่ามสวยงามมาก


จุดเด่นของโบสถ์ คือ ด้านหน้าโบสถ์เป็นซุ้มประตูโค้ง 5 ช่อง แต่ละช่องประดับด้วยโมเสกสีทองจากกรีซ มีภาพการเชิญศพนักบุญมาร์กมาเวนิส









ส่วนด้านข้างอยู่เยื้องไปทางขวาของ Basilica di San Marco คือTorre dell'Orologio
Torre dell'Orologio หรือ Moors' Clocktower...เป็นอีกอาคารที่สร้างขึ้นเพื่ออวดร่ำอวดรวยของเวนิส และใช้บอกเวลาสำหรับคนเดินเรือที่จอดเรืออยู่แถวนั้นด้วย บนยอดสุดจะเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์แขกมัวร์...ที่เมื่อถึงชั่วโมง จะยกค้อนฟาดไปที่ระฆัง... สองช้างมีโอกาสได้เห็นสองคนนี้ตีระฆังกันหลายรอบ.. ถัดจากสิงโตหิน St.Mark ลงมาเป็น...มาดอนน่า... ข้างๆเป็นนาฬิกาที่เป็นต้นแบบของนาฬิกาดิจิตัลในยุคปัจจุบัน... โดยฝั่งซ้ายบอกชั่วโมงเป็นตัวเลขโรมัน ฝั่งขวาบอกนาทีเป็นตัวเลขอราบิค...เปลี่ยนทุกๆห้านาที... ถัดลงมาเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ที่บอกข้างขึ้นข้างแรม 




จากนั้นก็เริ่มเดินชมเมืองเวนิสโดยรอบ  เริ่มจากเดินเข้ามา ณ จุดนี้ เป็นบริเวณท่าเรือ Gondola เล็กๆ จอดให้บริกานักท่องเที่ยว

 แล้วเดินเลาะมาเรื่อยๆ ชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมอาคารเก่าๆของเวนิส


 









 









 
เดินมาถึง Palazzo Dolfin Manin อนุสาวรีย์ Manin ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นตระกูลที่ดีและใจดี มาซื้อในปี 1651 อยู่มาจนถึง Ludovico Manin ที่เป็น Doge คนสุดท้ายของ Venice ที่เราเห็นอนุสาวรีย์ตั้งแต่เมื่อวานไปแล้วอยู่ในวังนี้จนเสียชีวิตในปี 1802 ต่อมาอาคารนี้ตกเป็นสำนักงานของธนาคารชาติสาขาเวนิส(http://pantip.com/topic/30254175)










ถึงซะที  Rialto Bridge
Rialto Bridge หรือสะพานริอัลโตนั้น เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเมือง Venice เดิมทีนั้น Rialto Bridge เป็น 1 ใน 4 สะพานข้าม Grand Canal เหมือนกับสะพานที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ แต่ด้วยความที่เป็นสะพานที่เก่าแก่และสวยงามที่สุด ทำให้ Rialto Bridge เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากที่สุดในบรรดาสะพานทั้ง 4 (แต่ช่วงนี้มีการบูรณะปรับปรุงใหม่ จึงมีสภาพที่ยังไม่สมบูรณ์)
ด้านล่างตรงตีนสะพานยังคงมีคาร์เฟ่นั่งชิลล์ๆ สำหรับนั่งดริ้งกาแฟ เบียร์ พร้อมกับชมบรรยากาศเรือเวนิส



 มองไปอีกฝั่ง
   
 จากมุมด้านข้างสะพาน


 



  จากมุมบนสะพาน ด้านข้างจะเป็นร้านอาหารอิตาลี่ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวราคาไม่แพง


จากสะพานก็เดินต่อไปด้านขวาจะเป็น ร้านค้า ขายของที่ระลึก  ของฝาก เครื่องประดับ เครื่องแก้ว ของใช้ จากที่เห็นเวนิสขายสินค้าฟุ่มเฟือยหรูหราทั้งหมด...ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศ น้ำหอม หินสีใช้วาดภาพราคาแพง เครื่องประดับทองและหินคริสตัล ...นอกจากนี้ยังผลิต แก้ว ผ้าไหม และสบู่... เวนิสเป็นศูนย์กลางของการผลิตผ้าไหมอีกด้วย










 
เดินมาถึงตลาดสดของเกาะเวนิส มองเห็นอีกฝั่งก็มีเรือกอลโดล่า ให้บริการ ส่วนฝั่งนี้ก็มีเรือโดยสารเทียบท่าที่บริเวณหน้าตลาดเช่นเดียวกัน


มีเวลาพักแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนไปต่อ ก็มาแอ๊บถ่ายภาพกันหน่อย 


 จากนั้นก็เข้ามาส่องในตลาดเวนิสกันหน่อย กลิ่นตลาดสดเริ่มโชยเข้ามาแล้ว


   ล้วนแล้วแต่อาหารทะเลสดๆ น่าอิจฉาจริงๆ









 



 

   ออกมาด้านหลังตลาด
จากนั้นก็ออกมาเดินสำรวจด้านนอกต่อ







 

แล้วก็มาถึงโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ที่ไม่ควรพลาด ไปล่องเรือ Gondola กัน
เดินย้อนมาเริ่มต้นกันที่ท่าเรือทางเข้า
 ลำไหนดีนะ



 ลงมาล่ะ





  ครบเวลาตามที่กำหนดก็ได้เวลากลับแระ
ห้าโมงเย็นกว่าแล้ว ถึงเวลาต้องลาแล้วนะเวนิส

  นักท่องเที่ยวทยอยกลับ เวลาเดียวกันเยอะมากกกก แทบจะไม่มีทางเดิน

 ระหว่างทางเดินกลับก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่เรียงราย
มาดูของฝากจากเวนิสกันว่าหน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้าง







 




ขอบคุณข้อมูลแนะนำท่องเที่ยว จาก
http://helloneung.blogspot.be/2014/04/1-italy.html
http://www.sasommile.com/destinations/italy/where-to-go/venic/
http://pantip.com/topic/30254175

...ภาพเยอะมาก ดูกันจนสลบไปข้างนึง ...

... Bye Bye Venice  😎😜 ...































 




































































0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น